กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่สำคัญในคาบสมุทรอินโดจีน เป็นที่ที่มีทั้งวัฒนธรรมจีนและอินเดียได้มาผสมผสานกัน
มีผู้คนมากมายจากทั่วโลกเดินทางมายังที่นี่ ที่ซึ่งมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมนี้มากกว่าที่ใดในโลก อีกทั้งยังมีชาวญี่ปุ่นกว่า ๔๐,๐๐๐ คนพำนักอยู่ที่นี่อีกด้วย สิ่งที่ต่างจากเมืองใหญ่อื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นั่นคือคนไทยใช้ตัวอักษรภาษาไทยที่มีรากมาจากประเทศอินเดีย ซึ่งมีอิทธิพลทำให้ข้อดีในเชิงการออกแบบจากการใช้โครงสร้างของตัวอักษรทั้ง ๔๔ ตัว โดยมีการนำบุคลิคเฉพาะของตัวอักษรละตินมาผสมผสานทำให้เกิดรูปแบบใหม่ที่น่าสนใจ
สันติ ลอรัชวี เกิดในปี ๑๙๗๑ เขาเป็นนักออกแบบไทยที่มาจากครอบครัวคนจีนที่ปู่ย่าตายายได้อพยพมายังประเทศไทยในช่วงสงครามกลางเมือง เขาไม่ได้เป็นเพียงอาจารย์มหาวิทยาลัยและศิลปิน แต่ยังเป็นผู้ริเริ่มให้ความรู้และความเข้าใจอันถ่องแท้ให้กับสังคมไทยเกี่ยวกับการออกแบบกราฟิก ที่ยังมีเบื้องหลังทางประวัติศาสตร์ที่ไม่มากนักเรามาเรียนรู้เบื้องลึกของประเทศนี้ และวงการการออกแบบของกรุงเทพฯ ผ่านความคิดและมุมองของสันติ ลอรัชวี ที่ไม่ได้มุ่งเน้นประเด็นแค่การสร้างสรรค์แต่เพียงอย่างเดียว
การทำงานและชีวิตประจำวัน
ชื่อของผมคือ ‘สันติ’ ซึ่งหมายถึง ความสงบสุขในภาษาบาลี ผมมาจากครอบครัวคนจีนที่นามสกุลเดิมคือ แซ่หล่อ ดังนั้นรุ่นปู่ย่าตายายของผมจึงเลือกนามสกุล ลอรัชวี ให้เป็นนามสกุลไทย เพราะด้วยสถานะทางสังคมคนไทยในช่วงเวลานั้นที่มองว่าคนจีนที่มาตั้งรกรากในประเทศไทยเป็นชนชั้นที่ต่ำกว่า
พ่อแม่ของผมเลือกที่จะไม่ให้ผมเรียนในโรงเรียนจีนเหมือนกับญาติคนอื่นๆ (ซึ่งจะสอนภาษาจีนด้วย) แต่กลับส่งผมเข้าเรียนในโรงเรียนคาทอลิกแทน เพื่อที่ผมจะได้เรียนภาษาอังกฤษและวิธีการคิดแบบสมัยใหม่ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมพูดภาษาจีนไม่ได้ แต่ในปัจจุบันนี้ครอบครัวคนจีนและคนไทยอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง แต่จริงๆ แล้วประเทศไทยเป็นประเทศที่มีผู้คนหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ร่วมกันมาแต่ดั้งเดิม ดั้งนั้นจึงเป็นเรื่องยากอยู่แล้วที่จะบอกว่าใครเป็นคนไทยแท้
กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีจราจรติดขัดและหนาแน่นมาก ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ ผมจึงเริ่มงานราว ๑๑ โมงของทุกวัน แต่จริงๆ แล้วผมตื่นราว ๗ โมงเช้าและใช้เวลาอยู่กับเฟซบุ๊คและบทความออนไลน์ประมาณ ๒-๓ ชั่วโมงพร้อมๆ กับกาแฟถ้วยแรกที่บ้าน เพราะเพื่อนผมหลายคน (นักเขียน ศิลปิน นักออกแบบ และสถาปนิก) จะโพสต์ข้อมูลหรือบทความที่น่าสนใจอย่างสม่ำเสมอ มันจึงกลายเป็นเวลาอ่านที่ดีสำหรับผม ส่วนใหญ่แล้วผมมักจะอ่านเกี่ยวกับเรื่องการออกแบบ สังคมและการเมือง พอผมถึงที่ทำงานผมก็จะพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับสิ่งที่ผมอ่าน โดยปกติแล้วเราปิดสตูดิโอประมาณสองทุ่ม แต่ผมก็ทำงานต่อที่บ้านจนดึก ผมเขียนและออกแบบในเวลาเดียวกัน จึงทำให้ผมไม่เคยเบื่อในสิ่งที่ทำ
ทีมเรามีสี่คน ซึ่งเป็นนักออกแบบทั้งหมด พวกเขาเคยเป็นนักเรียนหรือนักออกแบบฝึกงานของแพรคทิเคิลมาก่อน เราแต่ละคนมีอิทธิพลต่อกันและกันในที่ทำงาน ผมให้ความสำคัญและใช้เวลากับพวกเขาโดยผมมักดูแลเรื่องแนวคิดและทิศทางของงาน แต่บางครั้งผมก็กลายมาเป็นคนลงมือออกแบบเวลาที่เบล (ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวยการออกแบบ) ทำหน้าที่เป็นคนดูแลโครงการ บทบาทของเราแปรเปลี่ยนกันไปตามโครงการแต่ละโครงการเสมอ
ผมเคยเป็นอาจารย์ประจำที่มหาวิทยาลัย สิ่งนี้ทำให้ผมตระหนักว่า ‘การปฏิบัติ’ นั้นเป็นสิ่งสำคัญกับผมมากกว่า ‘ทฤษฎี’ ซึ่งนั่นก็เป็นที่มาของชื่อ PRACTICAL เหตุผลที่เราใช้ชื่อภาษาอังกฤษนั้นเพราะให้ความหมายของคำได้ดีกว่าภาษาไทย และก็ยังง่ายต่อการจดจำมากกว่า
ผมได้มีส่วนร่วมในโครงการของหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) อยู่หลายโครงการ ทางหอศิลปฯ เองมีนักออกแบบรุ่นใหม่ประจำภายในองค์กร ผมเลยมีโอกาสได้เข้าไปช่วยดูแลเรื่องแนวคิดและภาพลักษณ์ของนิทรรศการ รวมถึงการออกแบบอัตลักษณ์ของหอศิลปฯ เมื่อหกเจ็ดปีที่แล้วที่มีการประกวดการออกแบบตราสัญลักษณ์ นักออกแบบที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งชนะรางวัลนั้น แต่แล้วงานออกแบบนั้นกลับถูกมองเห็นว่าไม่เหมาะสมหลังจากที่ตัวอาคารสร้างเสร็จสมบูรณ์ คณะกรรมการจึงขอให้ผมออกแบบอัตลักษณ์นั้นใหม่ ผมจึงเสนอกลับไปว่ามันจะเป็นการดีกว่า ถ้าเราปรับปรุงจากสัญลักษณ์ที่ชนะการประกวด และสร้างระบบการใช้งาน ด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในขณะนั้น ทุกอย่างจึงดำเนินไปได้ โดยที่ผมแทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบหลักของผลงานดั้งเดิมมากนัก ผมเชื่อว่ามันไม่ได้ง่ายนักที่จะเปลี่ยนผลงานที่ถูกเลือกเอาไว้แล้ว แม้ว่าผลงานออกแบบนั้นจะใช่หรือไม่ใช่รสนิยมผมก็ตาม แต่ผมก็ไม่เลือกวิธีง่ายๆ ที่จะแค่ออกแบบมันใหม่
ประวัติส่วนตัว
ผมเกิดและเติบโตในกรุงเทพฯ เท่าที่จำความได้ครั้งแรกที่ผมได้รู้จักกับงานออกแบบกราฟิกน่าจะเป็นช่วงสมัยประถม ตอนนั้นมีการเขียนสมุดเฟรนด์ชิพ โดยผมเป็นคนหนึ่งได้วาดตัวอักษรตกแต่งลงในสมุด ซึ่งทำให้เป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนๆ ในห้อง และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเริ่มอยากลองทำอะไรสวยๆ หลายๆ อย่างเพิ่มขึ้น เช่นการเขียนตัวอักษร ๓ มิติและการใช้สีในแบบต่างๆ
ต่อมาในสมัยมัธยมต้นการเรียนของผมถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี จนกระทั่งถึงช่วงมัธยมปลายคะแนนค่อยๆ เริ่มแย่ลง ด้วยความคิดที่ผมไม่เข้าใจว่าเราเรียนวิชาแต่ละวิชากันไปเพื่ออะไร ผมจึงตัดสินใจเลือกเรียนในสิ่งที่ผมพอจะไปไหว เพราะในมุมมองของคนไทย ระดับปริญญาตรีนั้นเป็นมาตรฐานที่ทุกคนควรจะเรียน ผมสอบติดมหาลัยที่ผมเลือกไว้เป็นอันดับที่ ๔ คือหลักสูตรภาควิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ซึ่งห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ ๑๘ ชั่วโมงโดยรถไฟ) ผมเลือกที่จะขอพ่อแม่ไปเรียนที่ไกลๆ เพื่อที่จะไปใช้ชีวิตเองคนเดียว ขณะที่เรียนอยู่ที่นั่นผมขาดเรียนแทบจะทุกวิชาและลองทำในสิ่งที่ผมอยากทำ ตั้งแต่ขี่มอเตอร์ไซค์ข้ามจังหวัดไปจนถึงตั้งวงดนตรีกับเพื่อน ในขณะที่เพื่อนๆ กำลังเรียนหนังสือกันอยู่ ผมใช้เวลาอยู่ในหอสมุดเพื่ออ่านนวนิยายกำลังภายในของกิมย้งและโกวเล้ง ซึ่งในช่วงนั้นหนังฮ่องกงกำลังเป็นที่นิยมมากในประเทศไทย ส่วนเรื่องดนตรีวงของผมจะเล่นดนตรีแนวฮาร์ดร็อคและเฮฟวี่เมทัลเป็นส่วนใหญ่
หลังจากหนึ่งปี ผมกลับมากรุงเทพฯ ตามที่สัญญาไว้ ผมวางแผนจะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเอกชนที่คิดว่าเข้าเรียนได้ง่ายๆ คือ คณะนิเทศศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจวินาทีสุดท้ายกลายมาเลือกเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ ภาควิชาการออกแบบนิเทศศิลป์แทน เพราะผมนึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนผมชอบวาดรูป ผมโชคดีเลยสอบติดแล้วก็เริ่มเรียนเกี่ยวกับการออกแบบสื่อสาร ปีแรกนั้นค่อนข้างยาก เพราะผมไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อน และทุกอย่างนั้นเป็นสิ่งใหม่สำหรับผม ต่อมาปีสองเราเริ่มเรียนวิธีการคิด มีการพูดถึงคอนเซ็ปต์ ซึ่งนั่นเป็นจุดที่ทำให้ผมเริ่มเข้าใจและเห็นความสามารถของตัวเองว่าเราทำได้ รวมถึงทำได้ดีในวิชาการออกแบบตัวอักษรด้วย ผมโชคดีที่มีอาจารย์ดี การออกแบบสมัยนั้นเรียกว่า ‘พาณิชย์ศิลป์’ (ผมไม่ชอบชื่อนี้เลย) แต่ยังดีที่อาจารย์สอนพวกเราให้คิดแบบนักออกแบบกราฟิก
สมัยผมเป็นนักเรียนผมชื่นชอบเนวิลล์ โบรดี้ (Neville Brody) ช่วงนั้นเพลงจากฝั่งอังกฤษกำลังเป็นนิยมในกรุงเทพฯ เช่นเดียวกับนักออกแบบชาวอังกฤษ เช่น The Designers Republic หลังจากเรียนจบ ผมได้ทำงานที่สตูดิโอออกแบบของอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นเวลาปีครึ่ง ก่อนที่จะถูกชวนให้ไปเปิดแผนกกราฟิกในบริษัทออกแบบตกแต่งภายในของเพื่อนคนหนึ่ง ตอนนั้นผมอายุ ๒๕ ปี งานแรกที่ผมได้ทำคือการออกแบบโลโก้และสเตชั่นเนอรี่ของสตูดิโอออกแบบ และเป็นงานที่ได้รับรางวัลด้วย ผมถือว่าในช่วง ๒ ปีแรกเป็นช่วงที่ค่อนข้างยาก ทำงานทั้งวัน กลับมาบ้านก็ยังต้องทำต่อ สุขภาพค่อนข้างแย่ และบริษัทได้ปิดตัวลงในภายหลัง ผมเริ่มออกมาทำงานฟรีแลนซ์ ใช้ชีวิตสบายๆ เวลาว่างก็เล่นเกมส์ เป็นเวลา ๒ ปี ในช่วงนั้นธุรกิจเริ่มเฟื่องฟู ผมไม่ได้คิดจะลองอะไรใหม่ๆ เพราะผมมีแบบแผนและสูตรที่ผมนำมาปรับใช้กับการทำงานออกแบบของผม
ผมแทบจะไม่ได้ออกจากบ้านเลยเพราะติดเกมส์ สภาพชีวิตค่อนข้างแย่ จนวันหนึ่งผมล้มลงที่ห้องน้ำ เป็นเหตุให้ต้องเข้าโรงพยาบาลร่วม ๑๐ วัน ระหว่างที่นอนอยู่ในโรงพยาบาลในครั้งนั้นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตผม ผมพึ่งเข้าใจว่าลูกค้าไม่ได้เชื่อในความสามารถของผมเลย แต่กลับเห็นเราเป็นแค่ลูกจ้างแรงงานคนหนึ่ง ผมไม่ได้มีความสุขกับสิ่งที่ผมทำอยู่เท่าไร ในชีวิตการทำงานของผมก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ผมจึงอาจเล่นเกมส์เพียงเพราะอยากจะเอาชนะในโลกจำลองแทน
หลังจากนั้นผมถูกเชิญไปเป็นอาจารย์สัญญาพิเศษของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เมื่อมีโอกาสได้สอน ทำให้ผมรู้สึกว่าผมยังไม่มีความรู้มากพอ ผมจึงค่อยๆ เริ่มหันมาอ่านหนังสือออกแบบที่เป็นภาษาอังกฤษ (แทนที่จะดูแต่รูป) ต่อมาทางมหาวิทยาลัยก็ได้เสนอให้ผมเป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่นั่น และผมเริ่มอยากที่จะไปเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยในลอนดอน แม้ทางจะนั้นจะรับผมเข้าเรียนแต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้เพราะไม่ได้ทุนการศึกษาจากต้นสังกัด
กรุงเทพมหานคร
หลังจากปีแรกที่ผมสอน ประเทศไทยก็เผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้นักออกแบบจำนวนไม่น้อยว่างงาน นักออกแบบที่เก่งหลายคนกลายมาเป็นเพื่อนร่วมงานผมในรั้วมหาวิทยาลัย ช่วงนั้นทุกคนต่างไม่พอใจกับสถานการณ์ของวงการออกแบบ ทำให้เกิดกลุ่ม ‘ABCD’ ขึ้นซึ่งก่อตั้งโดยนักออกแบบที่เกิดในช่วงปี ๑๙๗๐ เราเหมือนกับนักเคลื่อนไหวทางสังคมที่พยายามจะยกระดับสถานะทางสังคมของนักออกแบบ และประกาศให้ผู้คนรู้ถึงคุณค่าของงานออกแบบกราฟิก
เราได้รับอิทธิพลจากกลุ่มนักออกแบบ ‘สามหน่อ’ เป็นอย่างมาก พวกเขาคือรุ่นแรกของนักออกแบบกราฟิก เพราะรุ่นก่อนหน้านี้เป็นยุคของบริษัทโฆษณา จึงไม่มีใครรู้จักชื่อของตัวนักออกแบบเลย สามหน่อจึงถือว่าเป็นผู้บุกเบิกที่เอางานสไตล์ Vernacular มาปรับใช้เข้าสู่โลกของการออกแบบกราฟิกในประเทศไทยให้เราได้เริ่มเห็นกันในช่วงปี ๑๙๙๐ โดยส่วนหนึ่งรับอิทธิพลมาจาก Charles S. Anderson
หลังจากนั้นสามหน่อนั้นได้ปิดตัวลง แต่ปัจจุบันเรายังติดตามงานของพวกเขาได้จากสมาชิกแต่ละคน หนึ่งในผู้นำนั้นได้ก่อตั้งบริษัทออกแบบผลิตภัณท์ ‘Propaganda’ สมาชิกคนอื่นๆ ก็เป็นบุคคลสำคัญในวงการออกแบบเช่นกัน ได้แก่ Pink Blue Black & Orange ที่ได้ถูกก่อตั้งขึ้นโดยอดีตสมาชิกในภายหลังก็มีบทบาทต่อวงการออกแบบมาจนถึงปัจจุบัน
ผมเชื่อว่าสถานการณ์ของวงการออกแบบนั้นดีขึ้นเรื่อยๆ นับจากช่วงฟองสบู่แตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักออกแบบรุ่นใหม่ แต่ก็ยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับคนส่วนใหญ่อยู่ดี ที่นักออกแบบยังต้องสร้างความเข้าใจให้กับผู้คนต่อไป แต่ปัจจุบันวงการการออกแบบนั้นถือว่าดีขึ้นมาก มีสื่อออนไลน์ที่เข้ามาช่วยได้มาก ทำให้เราสามารถจัดงานสัมมนาหรือกิจกรรมเกี่ยวกับการออกแบบได้อย่างมากมาย เช่น งาน ‘BITS’ ซึ่งเป็นการประชุมสัมมนาเกี่ยวกับตัวอักษร นอกจากนั้นยังมีสมาคมนักออกแบบเรขศิลป์ไทย (ThaiGa) ที่จัดกิจกรรมการออกแบบเป็นประจำทุกปี และล่าสุดคืองานกิจกรรมด้านการออกแบบตัวอักษรของ ‘TAB’ Typography Association of Bangkok ที่เป็นตัวกลางในการรวมตัวของผู้คนที่สนใจงานออกแบบตัวอักษรให้มาแลกเปลี่ยนกัน
ผมเริ่มแพรคทิเคิล ดีไซน์ สตูดิโอ ร่วมกับ กนกนุช ศิลปวิศวกุล เพราะเชื่อในการเป็นนักออกแบบ ถึงแม้ว่าผมเลือกที่จะสอนต่อและเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ABCD แต่หน้าที่ที่ผมไม่ลืมคือการเป็นนักออกแบบที่ดี แล้วทำไมผมยังคงสอนนอกเวลาที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพและมหาวิทยาลัยรังสิต ก็เพราะผมยังสนุกกับการสอนและการออกแบบไปพร้อมๆ กัน ไม่นานมานี้ผมคิดทบทวนดูว่าที่จริงแล้ว การสอนนั้นสามารถเกิดขึ้นได้นอกรั้วมหาวิทยาลัยอีกด้วย ทำให้ปีนี้แพรคทิเคิลได้เริ่มโครงการ ‘The Practice’ ขึ้น เพื่อค้นหาบัณฑิตใหม่มาร่วมกับเรา เรามีเบี้ยเลี้ยงให้และให้ร่วมทำงานกับโครงการต่างๆ ของพวกเรา รวมถึงการสนับสนุนให้ทำโครงการออกแบบส่วนตัวไปด้วยภายในเวลาหนึ่งปี ในปีแรกนั้นเราสามารถรับได้แค่คนเดียว แต่เราหวังว่าในปีต่อๆ มาจะมีสองถึงสามคนที่เราจะรับเข้ามาทำงานด้วย ผมอยากสร้างโอกาสให้คนเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับการฝึกฝนพัฒนา ส่วนตัวผมเองนั้นผมอยากที่จะเขียนหนังสือให้มากขึ้น เพราะผมเชื่อว่าผมถ่ายทอดความคิดไปสู่คนอื่นได้ดีผ่านการเขียน ว่าไปแล้ว ผมมักจะไม่สอนในสิ่งเดิมๆ ที่เคยสอน ผมเปลี่ยนมหาวิทยาลัยที่สอน จนไปถึงหลักสูตรการเรียนการสอนที่ผมคิดเอง เพราะผมว่ามันสำคัญที่จะคอยถามตัวเองตลอดเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำ การมีเพียงคำตอบนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัว ตอนนี้ผมสอนวิชาการออกแบบตัวอักษรให้กับนักศึกษาภาควิชาทัศนศิลป์อยู่ แต่ผมไม่ได้สอนรายละเอียด เช่น การปรับระยะของตัวหนังสือหรือการออกแบบตัวอักษร แต่ผมสอนพื้นฐานของการใช้ตัวอักษร ซึ่งนี่คือโอกาสที่ทำให้ผมได้พัฒนาความคิดเกี่ยวกับการใช้และการออกแบบตัวอักษรไปในเวลาเดียวกัน
การออกแบบตัวอักษร
ในยุคก่อน ๑๙๙๐ การออกแบบกราฟิกยังไม่เป็นที่รู้จักในกรุงเทพฯ มากนัก แต่ก็ยังมีนักออกแบบที่สำคัญหลายท่านที่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกแบบตัวอักษร เช่น มานพ ศรีสมพร เขามีส่วนเกี่ยวพันกับทุกยุคของตัวอักษร ตั้งแต่การพิมพ์ยุคตัวโลหะ (letterpress) ระบบโฟโต้ไทป์เซ็ตติ้ง (photo typesetting) ตัวอักษรขูด (dry-transfer) ไปจนถึงแบบระบบดิจิตอล ชุดตัวอักษร ‘มานพติก้า’ ของเขาคือการปรับเอาลักษณะทางกายภาพของแบบตัวอักษร Helvetica มาเป็นชุดตัวอักษรภาษาไทย ซึ่งมีอิทธิพลเป็นอย่างมากกับนักออกแบบรุ่นผม มานพคือนักออกแบบที่สร้างและนำเสนอบุคลิกลักษณะของตัวอักษรไทยโดยอิงจากตัวอักษรละติน
ส่วนการเลือกใช้ตัวอักษรของผมนั้น ขึ้นอยู่กับกระบวนการทางความคิด ผมจึงไม่มีชุดตัวอักษรที่ผมชอบเป็นพิเศษ บางทีผมก็เลือกตามความเหมาะสม เพราะนี่เป็นสิ่งสำคัญเมื่อมีการใช้งานร่วมกับตัวอักษรละติน เช่น Frutiger (ละติน) จะใช้ร่วมกับฟอนต์สุขุมวิท แต่บางทีผมก็อาจจะเลือกอะไรที่แตกต่างกันมากๆ ไปเลย ถ้าผมคำนึงถึงความสำคัญของเนื้อหาเป็นหลัก ปัจจุบันชุดตัวอักษรภาษาไทยนั้นก็มีให้เราเลือกมากมาย ทั้งจากคัดสรรดีมากและค่ายฟอนต์อื่นๆ ส่วนเว็บไซต์ที่ให้ดาวน์โหลดตัวอักษรฟรีนั้นก็เป็นที่นิยมมากเช่นกัน เช่น f0nt.com เห็นได้ว่าวงการการออกแบบตัวอักษรนั้นกำลังขยายเติบโตขึ้นในประเทศไทย
ผมไม่เคยตระหนักถึงการเป็นนักออกแบบกราฟิก(สไตล์)ไทย แต่ถ้าให้ผมคิดถึงเอกลักษณ์ของนักออกแบบในกรุงเทพฯ มันคงจะต้องเกี่ยวข้องกับการออกแบบที่ใช้ตัวอักษรภาษาไทย ถึงแม้ว่าประวัติศาสตร์ของไทยนั้นอาจจะมีมายาวนาน แต่ประเทศไทยก็เป็นที่ที่ได้รวมคนหลายเชื้อชาติ หลายวัฒนธรรมเข้าด้วยกันไว้ เลยเป็นเรื่องยากถ้าจะให้อธิบายความเป็นนักออกแบบไทย ตัวพิมพ์ภาษาไทยยุคใหม่นั้นได้เริ่มต้นมาจากช่วงที่ประเทศทางตะวันตกเข้ามาล่าอาณานิคมในเอเชีย เนื่องจากเราไม่เคยมีประวัติศาสตร์ของการพิมพ์ตัวอักษรมาก่อน ตัวอักษรที่เขียนบนแผ่นศิลาจารึกจึงถูกนับให้เป็นจุดเริ่มต้นของตัวอักษรภาษาไทย แต่เมื่อชาวตะวันตกได้เปลี่ยนเข้ามาพัฒนาตัวเขียนภาษาไทยให้เป็นตัวพิมพ์ พวกเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างและรายละเอียดต่างๆ ให้เหมาะสมกับวิทยาการการพิมพ์ ดังนั้นในอีกแง่นึงจึงพูดได้ว่าตัวพิมพ์อักษรไทยสมัยใหม่นั้นเกิดขึ้นด้วยการปรับเปลี่ยนจากทางประเทศตะวันตก
นักออกแบบรุ่นราวคราวเดียวกันที่ชื่นชม
อนุทิน วงศ์สรรคกร
คัดสรร ดีมาก
อนุทินเป็นผู้บุกเบิกวงการการออกแบบตัวอักษรในประเทศไทย งานออกแบบของเขาหลายงานได้ถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์ของวงการการออกแบบ เขาได้นำเสนอแนวทางการออกแบบตัวอักษรภาษาไทยเข้ากับวิถีการอ่านร่วมสมัย และมีแนวคิดที่จะทำให้ตัวอักษรภาษาอังกฤษและภาษาไทยนั้นสามารถใช้งานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและมีความเป็นสากล ชุดตัวอักษรที่เขาออกแบบนั้นได้สะท้อนให้เห็นถึงแง่มุมนี้อย่างเด่นชัด ตัวอย่างเช่น ฟอนต์ Amplitude Thai ซึ่งออกแบบโดย Christian Schwartz ที่นิตยสาร Wallpaper* ใช้อย่างเป็นทางการนั้น มีรูปแบบที่สอดคล้องกับฟอนต์ภาษาอังกฤษต้นฉบับทั้งบุคลิกภาพและสัดส่วนของตัวอักษร จนทำให้วงการนิตยสารเล่มอื่นๆ เกิดแรงบันดาลใจที่จะเริ่มออกแบบตัวอักษรเป็นของตัวเอง เพื่อสื่อสารความเป็นเอกลักษณ์ของตนเองให้มากขึ้น
ธีรนพ หวังศิลปคุณ
TNOP DESIGN
หลังจากที่เขาได้ทำงานในสหรัฐอเมริกากับบริษัทออกแบบชื่อดังอย่าง Segura Inc. รวมถึงเป็นสตูดิโอออกแบบของตนเองในนาม TNOP Design มาเป็นเวลานาน การตัดสินใจย้ายสตูดิโอกลับมายังประเทศไทยเมื่อ 5 ปีที่แล้วของเขา ถือว่าเป็นการจุดประกายให้กับวงการการออกแบบกราฟิกไทยเลยทีเดียว ส่วนตัวแล้วผมชื่นชมงานของเขามาก เพราะมีความลงตัวระหว่างกลิ่นอายของความเป็นสากลผสมเข้ากับบริบทของไทยที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ผมยังพบว่าเขาเป็นนักออกแบบที่มีความคิดและทัศนคติที่ดี หลังจากที่ได้มีโอกาสสอนร่วมกัน
ปราบดา หยุ่น
TYPHOON STUDIO
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่นักออกแบบกราฟิกเต็มตัว เพราะส่วนใหญ่แล้วเขาใช้เวลาไปกับการเขียน แต่งานออกแบบปกหนังสือของเขาก็เป็นที่น่าสนใจและน่าติดตามมากสำหรับผม พูดได้ว่างานออกแบบที่อยู่บนปกนั้นนำพาผมไปสู่การติดตามงานเขียนของเขาด้วยเช่นกัน งานส่วนใหญ่ของเขาที่ออกแบบมักใช้ตัวอักษรไทยเป็นหลักนั้น ส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันแสดงให้เห็นถึงการทดลองด้านดารออกแบบตัวอักษรที่กว้างออกไป ซึ่งไม่ได้ถูกจำกัดเอาไว้จากกรอบของความเป็นนักออกแบบอาชีพ ซึ่งทำให้เกิดเสน่ห์และความเป็นไปได้ในการใช้ตัวอักษรกับงานออกแบบมากขึ้น ผมถือว่าเขามีความกล้าหาญและท้าทายความสามารถของตัวเองมากทีเดียว กับการออกแบบปกหนังสือที่ตัวเองเขียน
//
คุณอาจจะมองเห็นความเป็นไทยได้จากถนนหนทางในกรุงเทพฯ ทั้งสีสันที่สว่างไสวกับกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ แต่กับการออกแบบกราฟิกกลับเป็นเรื่องยาก กรุงเทพฯ นั้นเป็นเมืองเดียวในทวีปเอเชียที่ไม่มีประวัติศาสตร์ของการตกเป็นอาณานิคม แต่ก็เต็มไปด้วยเรื่องราวทางวัฒนธรรมที่ชัดเจน ถึงแม้ว่าประวัติศาสตร์การออกแบบไทยนั้นจะมีความเป็นมาไม่ถึงร้อยปีก็ตาม แต่ความหลากหลายทางวัฒนธรรมนี้ก็ทำให้คนไทยด้วยกันเองอธิบายความเป็นไทยได้ไม่ง่ายนัก อย่างงานออกแบบร่วมสมัยนั้น เราก็สามารถเห็นได้ตามท้องถนนทั่วไปเหมือนกับประเทศอื่นๆ แต่ในแง่งานออกแบบเชิง Vernacular นั้น มันเกิดขึ้นก่อนที่ความคิดของการออกแบบกราฟิกจะเข้ามาในกรุงเทพฯ เสียอีก และความเป็นไทยที่ ‘สามหน่อ’ ได้ค้นพบในยุค ๙๐ นั้นก็ยังไม่ล้าสมัยแต่ยังคงเป็นที่สนใจ สำหรับสันติ ลอรัชวี เขาก็ไม่เลือกเดินในเส้นทางการออกแบบที่ดูผิวเผิน แต่มีจุดยืนอยู่ระหว่างความเป็นสมัยใหม่และความเป็นท้องถิ่น เขาใส่ใจและให้ความสำคัญในเรื่องการศึกษา การเขียน และการฝึกฝนพัฒนา เพื่อในวันที่วงการออกแบบในกรุงเทพฯ จะก้าวหน้าต่อไปอีก สุดท้ายนี้เราจะเฝ้ารอดูความคืบหน้าของวงการออกแบบไทยในแง่ของการพัฒนาปรัชญาทางการออกแบบที่ผสมผสานความเป็นท้องถิ่นเข้ากับความร่วมสมัยต่อไป
แปลและเรียบเรียงใหม่จากบทสัมภาษณ์ในนิตยสาร idea ฉบับที่ ๓๗๐ [Thought and Design], เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ โดย ปิติพร วงษ์กรวรเวช และ ธันย์ชนก เล็กวิริยะกุล
IDEA magazine vol.370, Yellow Pages Vol.5: Santi Lawrachawee (Bangkok)
Text : Tetsuya Goto / Associate Editor : by Javin Mo / Design : Sulki and Min
http://www.idea-mag.com/en/publication/370.php
E-book version:
http://www.idea-mag.com/en/books/yellow-pages/
This book is an E-book of eight series from “Yellow Pages” which featured Asian graphic designers on the Japanese graphic design magazine IDEA. This book will give you the case studies of Asian young designers and will let you know the “now” of Asian graphic design developed together with globalization.
*This book is written in both Japanese and English
Author:Tetsuya Goto / Design:Sulki & Min

Continue reading “Yellow Pages, IDEA magazine”