เป็นบทความขนาดสั้นที่เขียนขึ้นเพื่อลงวารสาร RAW MAT
ในโอกาสนิทรรศการโปสเตอร์ “Design (alone) Cannot Change (everything)”
แสดงระหว่างวันจันทร์ที่ 1-7 ธันวาคม 2551
ณ แกรนด์ ฮอลล์ ชั้น 1 สยาม ดิสคัพเวอรี่

โปสเตอร์กับความเป็นศิลปะสาธารณะ

“โปสเตอร์” สิ่งพิมพ์ที่อยู่เคียงข้างพื้นที่สาธารณะมาโดยตลอด ผมมีความสุข
และคุ้นเคยกับการยืนมองและอ่านเนื้อหาที่จัดวางอยู่บนโปสเตอร์
โปสเตอร์บางใบดึงดูดให้ผมเดินเข้าไปหามันตั้งแต่ตอนเห็นในระยะไกล
และบางใบก็สะกดให้ผมยืนมองเนิ่นนาน ที่ผ่านมาไม่ว่าจะรับใช้เนื้อหา
ที่สัมพันธ์กับรัฐ องค์กร สินค้าหรือบริการใดๆ ก็ตาม โปสเตอร์ก็เป็นสื่อหลัก
สื่อหนึ่งที่นักออกแบบสื่อเลือกใช้เมื่อจะต้องนำเสนอเนื้อหาไปสู่สาธารณะ
ดังนั้นอาจเรียกได้ว่า “โปสเตอร์” ก็เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับนักออกแบบกราฟิก
มาโดยตลอดเช่นกัน

สำหรับผมจึงเป็นเรื่องแปลกถ้าพบนักออกแบบซักคนที่ไม่เคยออกแบบ
โปสเตอร์เลย (แม้กระทั่งตอนเรียน) ซึ่งนับเป็นเวลากว่า 16 ปี จากโปสเตอร์
ใบแรกที่ผมออกแบบเพื่อส่งงานในชั้นเรียน จนถึงโปสเตอร์ใบล่าสุด
ที่ผมออกแบบสำหรับนิทรรศการโปสเตอร์นี้ ทำให้ชวนคิดว่าในระยะเวลา
ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้างกับการออกแบบโปสเตอร์ในบ้านเรา
ในขณะที่รูปแบบโปสเตอร์ก็มีความเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย สังคม
การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ เทคโนโลยี มาตามลำดับ
ตั้งแต่ยังไม่มีอาชีพนักออกแบบกราฟิก จนกระทั่งปัจจุบันที่มีนักออกแบบ
หน้าใหม่จบออกมาเป็นพันคนต่อปี

เรื่องหนึ่งที่ผมนึกถึงก็คือ “พื้นที่ติดโปสเตอร์ ” ที่นับวันจะลดลงจนบางครั้ง
นึกไม่ออกว่าจะเอาโปสเตอร์ที่ได้มาไปติดให้ที่ไหน
ในยุคสิบกว่าปีก่อน เสากลมบริเวณริมถนนบางสายเป็นพื้นที่หนึ่งที่มีคนมา
ติดโปสเตอร์กันมาก มีคนนำโปสเตอร์ไปติดเพิ่มตลอดทั้งวัน
ติดตอนเช้ามืด บ่ายก็โดนติดทับแล้ว แต่ก็จะโดนติดทับตอนหัวค่ำอีกที
ส่วนถ้าติดที่กำแพงแถวสยามฯ โดยมากมักจะคิดซ้ำจนเต็มกำแพง
เพื่อความชัดเจน แต่เวลาโดนทับก็มักจะโดนทั้งกำแพงเช่นเดียวกัน
เรื่องนี้ก็สะท้อนให้เห็นความไร้ระเบียบในการใช้พื้นที่สาธารณะ
แต่ถึงอย่างไรเสากลมก็ไม่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน ในขณะที่ผนังบริเวณ
สยามแสควร์ก็เหลือน้อยมากแล้ว…

พื้นที่สื่อสารสาธารณะที่เคยมีกำลังจะหมดไป
ในขณะพื้นที่สื่อสารสาธารณะใหม่ก็เกิดขึ้นทดแทน แต่ก็มีคนตั้งคำถาม
ไว้มากเกี่ยวกับความสามารถในการเข้าถึงพื้นที่สาธารณะใหม่นั้นๆ
ว่าเข้าถึงได้ยากหรือต้องเข้าไปภายใต้การกำกับอย่างเข้มงวด จนทำให้
พื้นที่นั้นไม่เป็น “สาธารณะ” จริง หรือไม่ก็มีเรื่องธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง
จนกลายเป็นพื้นที่ทับซ้อน จนต้องรับอิทธิพลของทุนหรือกลายเป็นพื้นที่
เชิงพาณิชย์ไปโดยปริยาย แรกเริ่มพื้นที่สาธารณะเป็นแนวความคิดที่เกิดขึ้น
ของฮาเบอร์มาส นักวิชาการเยอรมัน มองเห็นความสำคัญของโลก
การสื่อสารและบทบาททางการเมืองของกลุ่มชนชั้นใหม่ในสังคมยุโรป
ช่วงรอยต่อระหว่างการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบบการเมืองรูปแบบประชาธิปไตย

ในคริสต์วรรษที่ 18 การสื่อสารตามร้านกาแฟ ร้านตัดผมหรือร้านค้าในชุมชน
เป็นศูนย์รวมของการวิพากษ์วิจารณ์อำนาจรัฐ และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร
ประชาชนซึ่งเป็นกลุ่มพ่อค้าและนายทุน มีโอกาสนำเรื่องการเมืองมา
ตรวจสอบและกดดันให้เกิดความโปร่งใส พื้นที่สาธารณะมีความหมาย
ตรงกันข้ามกับพื้นที่ในราชสำนัก ซึ่งอำนาจทางการเมืองมีการรวมศูนย์
และการตัดสินใจทางการเมืองดำเนินภายในปริมณฑลที่ไม่เปิดเผยต่อ
สาธารณะและจำกัดในวงแคบพื้นที่สาธารณะยังประกอบไปด้วยสื่อหนังสือพิมพ์
ใบปิด ใบปลิว และสิ่งพิมพ์ขนาดเล็กที่เป็นเวทีกลางในการเชื่อมต่อพื้นที่
สาธารณะในทางกายภาพจากกลุ่มคนในร้านกาแฟและย่านต่างๆ ให้มีโอกาส
พบและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น
ผ่านพื้นที่สาธารณะในทางสัญลักษณ์

แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าพื้นที่ที่เหลือน้อยสำหรับโปสเตอร์จะสวนทางกับปริมาณ
การใช้สิ่งพิมพ์ในระดับย่อย ซึ่งขอบเขตการนำเสนอเนื้อหาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ
ขยายวงกว้างออกไปอย่างมาก ตั้งแต่ระดับปัจเจกชนไปจนถึงองค์กรต่างๆในชุมชน
ไม่ว่าจะเป็น สหภาพแรงงาน องค์กรนักศึกษามหาวิทยาลัย
ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายทางด้านสิ่งแวดล้อม โรงเรียนสอนพิเศษ โบสถ์หรือวัด
และมีประเด็นต่างๆที่กล่าวถึงอาณาเขต หรือปริมณฑลแห่งหนึ่งแห่งใดโดยเฉพาะ
เจาะจงมากขึ้น เช่น กลุ่มผู้ติดเชื้อเอช ไอ วี /ลูกหนี้บัตรเครดิต / ผู้ติดบุหรี่หรือสุรา
เป็นต้น ซึ่งเราจะสังเกตเห็นได้จากหน่วยงานเฉพาะด้านที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มนั้นๆ
เราจะสามารถเห็นโปสเตอร์ในสถานที่ของหน่วยงานต่างๆ อยู่เสมอ แต่ขอบเขตใน
การเผยแพร่ก็จะจำกัด ทั้งๆ ที่บางเรื่องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้อง
กับสังคมในวงกว้าง เกินกว่าจะติดอยู่แค่ในหน่วยงานเท่านั้น

ในเมื่อพื้นที่สาธารณะสำหรับโปสเตอร์ลดน้อยลงจนไม่มีความจำเป็นต่อการใช้
โปสเตอร์ ไม่ว่าโปสเตอร์ใบนั้นจะถูกออกแบบและสื่อสารได้ดีเพียงใด
มันก็ไม่สามารถแสดงศักยภาพออกไปได้ถ้าโปสเตอร์เหล่านั้นไม่มีพื้นที่
แสดงตัวออกไป บางทีทำให้คิดไปว่านี่อาจเป็นวาระสุดท้ายของศิลปะการออกแบบ
โปสเตอร์หรือไม่…

คุณประชา สุวีรานนท์ เคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ในบทความรายสัปดาห์ว่า
“หัวใจของงานออกแบบต้องมีพันธสัญญาระหว่างไตรภาคี อันได้แก่
ลูกค้าหรือสถาบันที่มอบหมายหรือว่าจ้างและสาธารณชน ซึ่งหมายถึงกลุ่มเป้าหมาย
หรือผู้ดู” อีกทั้งยังกล่าวถึงคุณค่าของโปสเตอร์ไว้ด้วยว่า
“ความเป็นศิลปะสาธารณะของโปสเตอร์กำลังเสื่อมลงพร้อมกับความหมายของ
คำว่า “พื้นที่สาธารณะ” นั่นอาจหมายถึงคุณค่าหรือความเป็นศิลปะของโปสเตอร์
อาจจะเป็นผลต่อเนื่องมาจากการแสดงตัวตนหรือเนื้อหาของมันออกไปสู่สาธารณะ
นั่นจึงจะทำให้โปสเตอร์ใบนั้นมีตัวตนครบถ้วน เพราะได้ทำหน้าที่ของมันออกไป
อย่างสมบูณ์แล้ว

ปลายปี พ.ศ. 2550 นิทรรศการ “ศิลปะแห่งการคอร์รัปชั่น” ซึ่งจัดแสดงที่หอศิลป์
สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ได้เชิญนักออกแบบกราฟิก 8 คน
ให้ร่วมสร้างสรรค์และแสดงผลงานโปสเตอร์ในพื้นที่แสดงนิทรรศการศิลปะร่วมกับ
ศิลปินทางด้านทัศนศิลป์คนอื่นๆ ซึ่งถือเป็นอีกปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึง
การจัดสรรพื้นที่ให้กับโปสเตอร์แสดงตัวในอีกบริบทหนึ่ง
ที่ไม่ใช่นิทรรศการจัดแสดงผลงานโปสเตอร์ที่เคยออกแบบมารวบรวมให้ชม
แต่เป็นการออกแบบโปสเตอร์เพื่อเหตุผลในการจัดแสดงในรูปแบบนิทรรศการ
โดยเฉพาะ จึงมีคำถามที่น่าสนใจว่า นิยามร่วมสมัยของโปสเตอร์คืออะไร /
ระหว่างการจัดแสดงนิทรรศการกับการพิมพ์โปสเตอร์เพื่อแจกจ่ายไปติดตาม
สถานที่ต่างๆ รูปแบบไหนจะมีคนพบเห็นและรับรู้เนื้อหามากกว่ากัน /
โปสเตอร์ที่พิมพ์เพียงเพื่อจัดแสดงนั้น ความเป็นศิลปะสาธารณะจะยังคงอยู่หรือไม่ ฯลฯ

เราทุกคนแม้จะมีความเป็นส่วนตัว แต่ทุกคนก็ต้องมีวาระที่เป็นชีวิตสาธารณะด้วย
แม้การแต่งตัวของเราก็สามารถสื่อสารอะไรบางอย่างออกไปแก่ผู้พบเห็น
ดังนั้นการที่โปสเตอร์แต่ละใบมีสถานภาพแตกต่างกัน อาจไม่ได้ทำให้คุณค่าหรือ
ความเป็นสื่อสาธารณะหมดไป หากเพียงสาระที่บรรจุอยู่นั้นยังมีประโยชน์เพียงพอ
ต่อผู้พบเห็น

สำหรับคนทำงานออกแบบโปสเตอร์คนหนึ่ง ในการพบเห็นโปสเตอร์แต่ละใบ
มีความรู้สึกยินดีมากกว่าความรู้สึกอื่นที่คละอยู่
เพราะไม่ว่าโปสเตอร์ที่เราออกแบบจะติดอยู่ที่ไหนก็ตาม การมีอยู่ของโปสเตอร์
แต่ละใบ ต่างพื้นที่ ต่างวาระนั้น นั่นก็สะท้อนให้เห็นถึงการมีอยู่ของพื้นที่สาธารณะ
การมีอยู่ของศิลปะการออกแบบโปสเตอร์ ที่นักออกแบบกราฟิกและพลเมืองของ
สังคมคนหนึ่ง อาจใช้ปกป้องวิชาชีพและพื้นที่สาธารณะเอาไว้
ด้วยการผลิตแผ่นกระดาษที่จะเข้าไปแบ่งปันพื้นที่ที่นับวันจะมีเจ้าของกันหมดแล้ว…

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s